วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

การลดความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัย

นื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น จะมีความชื้นและอุณหภูมิค่อนข้างสูงตลอดทั้งปี  ทำให้ภายในบ้านพักอาศัยมีความร้อนและความชื้นสะสมมาก   ทำให้มีการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดความสบายแก่ผู้อยู่อาศัยภายในที่พักอาศัยและภาระความร้อนที่ระบบปรับอากาศต้องดึงออกจากที่พักอาศัย  ประกอบด้วย ความร้อนสัมผัส(Sensible heat) และความร้อนแฝง(Latent heat) มีอยู่ในอากาศและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านทั่วไป หากเรhttp://www.thailandindustry.com/guru/view.php?id=1401าสามารถลดความชื้นของอากาศลงได้ก็จะสามารถลดภาระความร้อนแฝงภายในที่พักอาศัยได้  หมายถึงการลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบปรับอากาศลงได้ การลดความชื้นของอากาศสามารถทำได้หลายวิธี ตัวอย่าง เช่น การใช้สารดูดความชื้น  แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการใช้สารดูดความชื้นคือเมื่อใช้สารดูดความชื้นจนความสามารถในการดูดความชื้นลดลงจะต้องมีการนำสารดูดความชื้นมาทำการดึงความชื้นออก หรือลดความชื้นโดยใช้วิธี ล้อความร้อน(Heat Wheel) โดยการนำเอาอากาศร้อนมาดึงความชื้นออกจากอากาศก่อนเข้าระบบปรับอากาศแต่วิธีนี้จะส่งผลให้อากาศที่ผ่านกระบวนการลดความชื้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น  แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ลดความชื้นที่จำหน่ายในท้องตลาดมีด้วยกันหลายแบบ เช่น  เครื่องลดความชื้นที่ใช้ คอมเพรสเซอร์ และเครื่องลดความชื้นที่ใช้สารกึ่งตัวนำเป็นอุปกรณ์หลักในการลดความชื้น  เครื่องลดความชื้นที่ใช้สารกึ่งตัวนำนั้นจะเป็นวิธีการที่สะดวกเพราะไม่มีอุปกรณ์มาก ง่ายต่อการติดตั้งและมีน้ำหนักเบา
.
ความชื้นสะสมที่เกิดขึ้นภายในที่พักอาศัยมักจะเกิดขึ้น  เนื่องจากร่างกายมนุษย์ที่ถ่ายเทความชื้นจากร่างกายให้กับอากาศในที่พักอาศัย การคายความชื้นจากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในที่พักอาศัย ด้วยเหตุนี้ทำให้ปริมาณความชื้นภายในอากาศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่สบายเชิงความร้อนต่อผู้พักอาศัย   จากการคายความชื้นสู่อากาศภายในที่พักอาศัย  ทำให้เครื่องปรับอากาศจะต้องทำการดึงความร้อนแฝงที่เกิดจากความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัยออกจากที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก   
.

การลดความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัย

การลดความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัยที่ใช้กันอย่างกว้างขวางสองวิธี คือ แบบ Passive และ Active ในรูปที่ แสดงตัวอย่างการลดความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัยโดย วิธี Passive อาศัยหลักการเดียวกับการระบายอากาศแบบธรรมชาติ โดยเมื่ออากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะทำให้อากาศลอยตัวสูงขึ้นในขณะเดียวกันความชื้นในอากาศก็ลอยตัวพร้อมกับอากาศไหลจากชั้นล่างของบ้านผ่านช่องเปิดผ่านขึ้นสู่ชั้นสองและไหลผ่านฝ้าเพดานขึ้นสู่ห้องใต้หลังคาและในขณะเดียวกันอากาศร้อนในห้องใต้หลังคาก็จะไหลออกผ่านช่องเปิดที่เปิดไว้บนหลังคาบ้าน


http://www.thailandindustry.com/guru/view.php?id=1401

ชื้อราในบ้าน ปัญหาใหญ่หลังน้ำลด

ชื้อราในบ้าน ปัญหาใหญ่หลังน้ำลด


เมื่อน้ำที่ท่วมขังอยู่นานลดลงไป ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เชื้อรา ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับบ้าน แต่ยังอาจส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้าน โดยเฉพาะคนที่เป็นหอบหืด ภูมิแพ้ หรือโรคในระบบทางเดินหายใจ รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจแพ้และไวต่อการติดเชื้อรา ดังนั้น เพื่อป้องกันและกำจัดปัญหาเชื้อรา ควรรีบทำความสะอาดบ้านภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังน้ำลด


การแก้ไขปัญหาเชื้อราในบ้าน
1. เตรียมตัวให้พร้อม
ไม่ควรให้คนในบ้านที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคในระบบทางเดินหายใจ เด็ก และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ กลับเข้าบ้านจนกว่าจะทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย
แต่งกายให้รัดกุมโดยการสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมถุงมือยาง รองเท้ายาง เอี๊ยมกันน้ำ หมวกคลุมผม แว่นตา และหน้ากาก
สำหรับแว่นตาควรเลือกแบบที่แนบสนิทกับใบหน้าและไม่มีรูระบายอากาศ ในบริเวณที่พบเชื้อราควรใช้หน้ากากชนิด N-95 ที่มีขนาดเหมาะสมกับใบหน้า เพื่อป้องกันการสูดดมเอาเชื้อโรคและเชื้อราเข้าไป (สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาและเวชภัณฑ์) ทั้งนี้หน้ากากกันฝุ่นและผ้าเช็ดหน้าไม่สามารถกันเชื้อราได้ เนื่องจากสปอร์ของเชื้อรามีขนาดเล็กมาก
เปิดหน้าต่าง ประตูเพื่อระบายอากาศและความชื้นให้ออกไปจากตัวบ้านอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเข้าไปในตัวบ้าน และควรเปิดหน้าต่าง ประตูบ้านให้อากาศถ่ายเทสะดวกระหว่างทำความสะอาดบ้าน
2. เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด ได้แก่ แปรงขัด น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อ อาจซื้อแบบสำเร็จรูป หรือสามารถทำได้เองง่ายๆ
น้ำยาฆ่าเชื้อราที่สามารถทำได้เอง ได้แก่
  • น้ำส้มสายชู เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อราอย่างอ่อน สามารถฆ่าเชื้อราได้ประมาณ 80% แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ จะเลือกใช้ชนิดหมักหรือกลั่นก็ได้ ควรมีความเข้มข้นอย่างน้อย 7% อาจฉีดพ่นทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วเช็ดออก
  • ผลิตภัณฑ์ฟอกขาวที่มีส่วนผสมของสารประกอบคลอรีน 6% sodium hypochlorite เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อราชนิดเข้มข้น สามารถหาซื้อได้ง่าย โดยต้องนำมาเจือจางกับน้ำก่อนใช้ (ผสมใหม่ทุกครั้งก่อนใช้งานเท่านั้น เนื่องจากสารละลายเสื่อมสภาพได้เร็ว) และมีข้อควรระวังคือ ห้ามผสมสารละลายคลอรีนกับแอมโมเนีย หรือผสมสารละลายคลอรีนกับสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดก๊าซพิษได้หลายชนิด เช่น คลอรามีน ก๊าซคลอรีน ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุตา หลอดอาหาร หลอดลมและอาจทำให้เสียชีวิตได้
สำรวจบ้าน
สังเกตบริเวณที่น้ำท่วมว่ามีเชื้อราเกิดขึ้นที่บริเวณใดบ้าง โดยเฉพาะในห้องใต้ดิน ห้องครัว และห้องน้ำ รวมถึงเพดาน กำแพง พื้น ขอบหน้าต่าง ท่อน้ำที่มีการรั่วซึม ใต้พรม ใต้-หลังเฟอร์นิเจอร์ หรือใต้วอลเปเปอร์
การสังเกตเชื้อราอาจใช้การดูด้วยตาเปล่า มักเห็นเป็นเหมือนรอยเปื้อนที่ผนัง หรืออาจเห็นเป็นวงกลมอยู่รวมเป็นกลุ่ม พบได้หลายสีขึ้นกับชนิดของเชื้อรา เช่น สีดำ สีน้ำตาล สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว หรือใช้การดมกลิ่น ซึ่งจะได้กลิ่นเหม็นอับทึบหรือเหม็นคล้ายกลิ่นดิน
ทิ้งสิ่งของที่พบเชื้อราและไม่สามารถทำความสะอาดได้
หากมีของใช้และของแต่งบ้านที่เปียกน้ำเกิน 48 ชั่วโมง โดยเฉพาะวัสดุที่มีรูพรุนและสิ่งของซึ่งยากต่อการทำความสะอาดหรือทำให้แห้ง ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมด เช่น พรม ที่นอน เบาะผ้า วอลเปเปอร์ ผลิตภัณฑ์หนัง กระดาษ ไม้ หมอน ตุ๊กตายัดไส้ ควรทิ้งไปโดยใส่ถุงพลาสติกและมัดให้แน่นเพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อรา
สำหรับวอลเปเปอร์และผนังที่ขึ้นราควรลอกออกให้หมด และทำความสะอาดด้วยแปรงแข็งและน้ำยาฆ่าเชื้อ ไม่ควรติดวอลเปเปอร์หรือทาสีทับลงไป เพราะจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
ทำความสะอาดและกำจัดเชื้อรา
ทำความสะอาดพื้น ผนัง เพดาน และสิ่งของที่ปนเปื้อนด้วยน้ำและสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ขัดให้คราบสกปรกหลุดออกให้หมด โดยบริเวณที่ต้องทำความสะอาดมากเป็นพิเศษ คือ ครัว ชั้นวางอาหาร และบริเวณที่สำหรับเด็กอยู่อาศัย
กำจัดเชื้อราที่อยู่ตามพื้นผิวที่แข็ง เช่น พื้นห้อง เตา อ่างล้างจาน ของเล่นเด็ก เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร จาน พื้นโต๊ะ และอุปกรณ์อื่นๆ โดยทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฟอกขาว 1 ถ้วย (240 มล.) เจือจางกับน้ำสะอาด 1 แกลลอน (3.8 ลิตร) ถ้าพื้นผิวมีความหยาบให้ใช้แปรงแข็งๆ ขัดทำความสะอาด แล้วจึงล้างพื้นผิวนั้นด้วยน้ำสะอาด (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัดส่วนการผสมผลิตภัณฑ์ฟอกขาวกับน้ำและขั้นตอนในการทำความสะอาดบ้านและอุปกรณ์เครื่องใช้)
ถ้าพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาดแห้งและเห็นเป็นราขึ้นฟู ควรเช็ดด้วยกระดาษชำระเนื้อเหนียว พรมน้ำให้เปียกเล็กน้อย หากใช้ผ้าแห้งหรือกระดาษแห้งๆ เช็ดอาจทำให้สปอร์ของราฟุ้งกระจายมากขึ้น วิธีเช็ดควรเช็ดไปในทิศทางเดียว เช่น บนลงล่าง หรือซ้ายไปขวา แล้วทิ้งกระดาษไป ห้ามเช็ดย้อนไปมา เพราะจะทำให้บริเวณที่เช็ดราออกไปแล้วปนเปื้อนราได้อีก จากนั้นเช็ดด้วยน้ำสบู่
สำหรับเสื้อผ้าหรือสิ่งของที่ทำด้วยผ้าที่ปนเปื้อน เช่น ผ้าม่าน ผ้าห่ม ควรแยกซักออกจากผ้าปกติ เมื่อซักทำความสะอาดแล้วให้นำมาต้มฆ่าเชื้อ และตากแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้
ระหว่างทำความสะอาดให้เปิดประตูหน้าต่างเพื่อช่วยระบายอากาศ ห้ามเปิดแอร์หรือพัดลมเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อรา
ทำให้แห้งและควบคุมความชื้น
  • หลังจากทำความสะอาดและกำจัดเชื้อราแล้ว ให้ใช้พัดลมเป่าในบ้านและอุปกรณ์ต่างๆ ให้แห้งสนิท 
  • หากมีการรั่วซึมของน้ำภายในบ้าน เช่น หลังคา ผนัง ต้องรีบแก้ไข เพราะความชื้นเป็นสาเหตุสำคัญของการเจริญเติบโตของเชื้อรา 
  • เฝ้าระวังไม่ให้ภายในบ้านอับชื้น โดยความชื้นที่มักไม่เกิดเชื้อราคือที่ระดับความชื้น 40-60% คอยตรวจสอบบริเวณที่เคยพบเชื้อราและบริเวณที่อับชื้นไม่ให้เกิดเชื้อราขึ้นอีก
ข้อควรระวังในการกำจัดเชื้อรา
1. แต่งกายรัดกุม สวมชุดทำความสะอาดที่เตรียมไว้
2. เปิดหน้าต่างและประตูบ้านให้มีลมและแดดถ่ายเทได้สะดวก
3. แยกซักเสื้อผ้าที่สวมขณะทำความสะอาดด้วยน้ำร้อนและน้ำยาซักผ้า สำหรับหน้ากากใช้แล้วและขยะที่เกิดจากการทำความสะอาดให้ทิ้งลงในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิท
4. หากคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติ เช่น คัดจมูก ระคายเคืองนัยน์ตา มีน้ำตาไหล เจ็บคอ ไอ หายใจมีเสียงวี้ด ปวดศีรษะ มีผื่นคันที่ผิวหนังหรือหนังศีรษะ ควรรีบไปพบแพทย์

แหล่งที่มา: โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
http://www.greenprotechnature.com/2013/09/blog-post_7357.html

การลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศโดยใช้สารดูดความชื้นเพื่อการประหยัดพลังงาน

การลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศโดยใช้สารดูดความชื้นเพื่อการประหยัดพลังงาน


ปัจจุบันเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเรือนและอุตสาหกรรม โดยประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศเป็นอันดับต้นๆของโลก สารทำความเย็นที่ใช้ในเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศจะถูกปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการเกิดภาวะมลพิษ ซึ่งแนวทางหนึ่งในการช่วยลดการใช้ไฟฟ้าลงได้คือการลดความชื้นภายในอากาศโดยไม่ใช้พลังงานไฟฟ้า การใช้สารดูดความชื้น จึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความชื่นในอากาศ แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ลดความชื้นที่จำหน่ายในท้องตลาดมีด้วยกันหลายแบบ เช่น เครื่องลดความชื้นที่ใช้คอมเพรสเซอร์และเครื่องลดความชื้นที่ใช้สารกึ่งตัวนำเป็นอุปกรณ์หลักในการลดความชื้น เครื่องลดความชื้นที่ใช้สารกึ่งตัวนำนั้นจะเป็นวิธีการที่สะดวกเพราะไม่มีอุปกรณ์มาก ง่ายต่อการติดตั้งและมีน้ำหนักเบา ความชื้นสะสมที่เกิดขึ้นภายในที่พักอาศัยมักจะเกิดขึ้น เนื่องจากร่างกายมนุษย์ที่ถ่ายเทความชื้นจากร่างกายให้กับอากาศในที่พักอาศัย การคายความชื้นจากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในที่พักอาศัย ด้วยเหตุนี้ทำให้ปริมาณความชื้นภายในอากาศเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เกิดความไม่สบายเชิงความร้อนต่อผู้พักอาศัย จากการคายความชื้นสู่อากาศภายในที่พักอาศัยทำให้เครื่องปรับอากาศจะต้องทำการดึงความร้อนแฝงที่เกิดจากความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัยออกจากที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก
การลดความชื้นสะสมภายในที่พักอาศัย ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง คือ แบบPassive และ Active
วิธี Passive อาศัยหลักการเดียวกับการระบายอากาศแบบธรรมชาติ เมื่ออากาศมีอุณหภูมิจะทำให้อากาศลอยตัวสูงขึ้นและความชื้นในอากาศก็ลอยตัวพร้อมกับอากาศไหลผ่านฝ้าเพดาน
วิธี Active จะเป็นการลดความชื้นโดยมีอุปกรณ์ช่วยในการลดความชื้น เช่น พัดลมสำหรับการระบายอากาศเพื่อช่วยในการลดความชื้นสะสมภายในที่พัก
ฉะนั้นเมื่อมีการลดความชื้นของอากาศลงก็จะช่วยทำให้เครื่องปรับอากาศลดความชื่นลงได้ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

เครื่องดูดความชื้น เครื่องลดความชื้นมาตรฐานสากล

บริษัท เอ็ม ดี ชิสเต็ม คอนโทรล แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เครื่องดูดความชื้น เครื่องลดความชื้นมาตรฐานสากล บริหารงานโดยทีมงานเทคนิค วิศวกรรมระบบ ที่มีความชำนาญด้าน ระบบอุณหภูมิและความชื้นรวมถึงการออกแบบติดตั้งระบบให้กับลูกค้าตั้งแต่ระดับองค์กรขนาดใหญ่ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ธุรกิจขนาดย่อม ตลอดจนภาคครัวเรือน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางบริษัทสามารถตอบสนองทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม  ห้องทดสอบ  ห้องคอมพิวเตอร์  คลังสินค้า  ห้องพักโรงแรม  ห้องโทรคมนาคม ห้องผลิต เป็นต้น